19 พฤษภาคม 2554

โอกาสในการลงทุนทองคำ

ในอดีตทองคำถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากที่มีปัจจัยบวกหลายๆปัจจัยมารวมตัวกัน โดยมีปัจจัยหลักคือการอ่อนค่าของค่าเงิน Dollar สหรัฐ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การลงทุนทองคำ จึงกลายเป็นที่ชื่นชอบมากในหมู่นักลงทุนในปัจจุบัน

แล้วมันหมายความว่าโอกาสในการลงทุนทองได้ผ่านไปแล้วหรือไม่?

เหตุผล 3 ข้อต่อไปนี้จะเป็นคำตอบให้กับคุณว่าทำไมการลงทุนทองคำจึงยังคงน่าสนใจอยู่


1) ความปลอดภัย


ในยุคที่ระบบการเงินของโลกมีความอ่อนแอเช่นนี้ การลงทุนทองคำถือเป็นทางเลือกทีดีที่สุดที่คุณจะปกป้องอำนาจการซื้อของเงินสดที่คุณเก็บสะสมไว้ สถานการณ์ที่ ค่าเงิน Dollar ค่าเงิน Euro และค่าเงิน Yen พร้อมใจกันอ่อนตัวอย่างในปัจจุบันนั้น จะเป็นตัวกระตุ้นที่มีพลังสูงมากที่จะทำให้ราคาของ โลหะมีค่าต่างๆ เช่น ทองคำ รวมถึง น้ำมัน พุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ทองคำยังเป็นวิธีการเก็บรักษามูลค่าเงินของคุณที่คุณสามารถเห็นและจับต้องได้อีกด้วย ในกรณีที่เกิดสงครามหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โลหะมีค่าเช่นทองคำเป็นสิ่งเดียวที่คุณจะใช้ในการแลกเปลี่ยนกับปัจจัยสี่ที่คุณต้องการได้

2) วิกฤตการเงินของประเทศอเมริกา


เป็นที่รู้กันดีว่าสาเหตุหลักที่ทำให้การลงทุนทองคำ หรือโลหะมีค่าต่างๆ รวมถึงทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปเช่น น้ำมัน ให้ผลตอบแทนที่ร้อนแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น คือการที่สหรัฐอเมริกาพิมพ์ธนบัตรออกมาในระบบเป็นจำนวนมหาศาล โดยปกติแล้วเมื่อประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นประเทศในสหภาพยุโรป จีน อินเดีย หรือแม้แต่ญี่ปุ่นต้องการที่จะพิมพ์เงินออกมาใช้ได้นั้นจำเป็นที่จะต้องนำทองคำมาค้ำประกัน แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้ได้โดยที่ ไม่จำเป็นต้องมีทองคำมาค้ำประกัน เมื่อมีการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเงิน Dollar กับเงินสกุลอื่นนั้นก็เปรียบเสมือนว่าสหรัฐกำลังนำกระดาษของเขา มาแลกกับทองคำของประเทศอื่นนั่นเอง ยิ่งสหรัฐอเมริกาพิมพ์เงินออกมามากเท่าไหร่มูลค่าของเงิน Dollar ก็จะลดลงมากเท่านั้นเนื่องจากความน่าเชื่อถือของเงิน Dollar ในสายตาประเทศอื่นจะลดลง แล้วในที่สุดประชาชนจะแห่ขายเงิน Dollar แล้วหันมาซื้อสิ่งที่สามารถรักษามูลค่าของเงินได้จริงๆ ซึ่งก็คือโลหะมีค่าต่างๆรวมถึง ทองคำนั่นเอง 

เป็นที่คาดกันว่าเร็วๆนี้รัฐบาลของอเมริกาจะอนุมัติคำขอในการอัดฉีดเงินเข้าระบบครั้งที่ 3 ซึ่งจะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกายิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ปัญหาการเงินของอเมริกาจึงเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่จะทำให้ราคาทองคำถีบตัวสูงขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตามอเมริกายังมีทางออกเหลืออยู่ ทางออกเดียวของสหรัฐคือจัดหาทองคำมาค้ำประกันเงินที่พิมพ์ออกมาทั้งหมดนั่นเอง ซึ่งถ้าอเมริกาเลือกใช้วิธีนี้ก็จะเป็นผลทำให้เกิดความต้องการทองคำอย่างมหาศาลในตลาดโลกซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำทะยานตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามทางเลือกนี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตราบใดที่ปัญหาของอเมริกายังไม่จบสิ้นการลงทุนทองคำก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่


3) ความต้องการในตลาดโลก


ในตลาดโลกเองนั้นความต้องการของทองคำและโลหะมีค่าต่างๆก็ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน ในไตรมาศที่สี่ของปี 2010 ความต้องการลงทุนทองคำในประเทศจีนเพิ่มขึ้นมากถึง 84% และยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขใกล้เคียงกันก็กำลังเกิดขึ้นที่อินเดียเช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนเริ่มไม่เชื่อมั่นในระบบเงินตราและหันมาเก็บรักษาเงินของพวกเขาในรูปของทองคำนั่นเอง

จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า โอกาสการลงทุนทองคำ ในปัจจุบันนั้นยังคงเปิดกว้างและจะยังมีความน่าสนใจอยู่ต่อไป จนกว่าปัญหาของระบบการเงินของโลกจะสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นที่คาดกันว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี

09 พฤษภาคม 2554

การวิเคราะห์แบบพื้นฐาน Vs การวิเคราะห์แบบเทคนิค

ในโลกของการลงทุนนั้นมีแนวทางการลงทุนหลักๆอยู่สองรูปแบบคือการ การลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน และ การลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวทางทั้งสองนั้นแบบเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดในบรรดากูรู ว่าประสิทธิภาพของการลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน สำหรับนักลงทุนมือใหม่ฟังแล้วอาจจะเกิดความสงสัยว่าการลงทุนทั้งสองแบบนั้นคืออะไรและวิธีการไหนที่คุณควรเลือกใช้ในการลงทุน


การลงทุนแบบเทคนิค และ การลงทุนแบบพื้นฐานคืออะไร?

การวิเคราะห์แบบเทคนิคคือแนวทางการลงทุนที่สนใจเฉพาะการเคลื่อนไหวของราคาซื้อขายของสินค้าทางการเงินนั้นๆ และนำข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตมาใช้ในการคาดการณ์ราคาในอนาคต
ในทางกลับกัน การลงทุนแบบพื้นฐานคือการลงทุนที่ไม่สนใจการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด แต่จะมุ่งเน้นในการทำความเข้าใจ ตัวแปรพื้นฐานที่เป็นตัวกำหนดราคาซื้อขาย

แล้วการลงทุนทั้งสองแบบมันต่างกันอย่างไร?
1.       ความเชื่อและวิธีการลงทุน

นักลงทุนแบบเทคนิคนั้นมีความเชื่อว่าการทำความเข้าใจตัวแปรพื้นฐานนั้นไม่มีความจำเป็นเนื่องจากราคาซื้อขายได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของตัวแปรทุกตัวไว้หมดแล้ว และข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการตัดสินใจถูกรวบรวมไว้ในกราฟราคาเรียบร้อยแล้ว การลงทุนแนวทางนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถิติ นักลงทุนแบบเทคนิคนั้นไม่ได้ต้องการที่จะชนะในทุกๆครั้งที่ลงทุน มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะขาดทุน 9 ครั้งจากการลงทุน 10 ครั้ง แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเมื่อพวกเขาชนะ ผลกำไรที่ได้ต้องมากกว่าผลขาดทุนที่ผ่านมารวมกันทั้งหมดบวกกำไรที่เหมาะกับช่วงเวลาที่ใช้ในการลงทุน ในทางสถิติเราเรียกว่า ผลตอบแทนคาดหวัง (Expected Return) เป็นบวกนั่นเอง

สำหรับการลงทุนพื้นฐานมีความเชื่อหลักคือ การซื้อหุ้นคือการซื้อบริษัทหรือกิจการดังนั้นนักลงทุนแบบพื้นฐานจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด และตัวแปรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกำไร เพื่อนำมาคำนวณหา มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของบริษัทที่สนใจ นี่เป็นส่วนที่ท้าทายที่สุดสำหรับการลงทุนแนวทางนี้เนื่องจากการหามูลค่าที่แท้จริงนั้นต้องเกิดจากการคาดการณ์ อนาคตของบริษัทนั้นๆ หลังจากนั้นสิ่งที่นักลงทุนแบบพื้นฐานต้องทำคือรอให้ราคาซื้อขายในตลาดลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงจึงทำการเข้าซื้อ การลงทุนแนวนี้เปรียบเสมือนการที่คุณซื้อธนบัตรใบละ 1,000บาทด้วยเงินเพียง 800บาทนั่นเอง

2.       ระยะเวลาที่ใช้ในการลงทุน

โดยปกติแล้วการลงทุนแบบเทคนิคจะมีกรอบเวลาที่ใช้ในการลงทุนสั้นอาจจะเป็น 1 อาทิตย์ 1 วัน หรือแม้แต่ 1 นาทีเลยทีเดียว ด้วยกรอบการลงทุนที่สั้นทำให้นักลงทุนแบบเทคนิคมีการซื้อขายที่เร็วและบ่อยมาก ซึ่งจะมีข้อดีคือมีอัตราการหมุนเวียนของเงินทุนที่สูง หรือ สามารถนำเงิน 100,000บาทมาซื้อขายหลายๆครั้งทำให้เกิดมูลค่าการซื้อขายสุทธิมากกว่า 1,000,000 บาทได้ นั่นเอง แต่ข้อเสียของการหมุนเวียนสูงคือ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หรือค่า commission ก็จะสูงตามไปด้วย

ในทางกลับกัน การลงทุนแบบพื้นฐานจะมองกรอบการลงทุนในระยะเวลาเป็นปี โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับ 2-5 ปี อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักลงทุนแบบพื้นฐานหลายๆคนที่ถือหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากกว่า 10 ปี ตัวอย่างเช่น Warren Buffet ซึ่งเป็นปรมาจารย์ของการลงทุนแนวนี้ถือหุ้นบางตัวมากกว่า 30ปีเลยทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าการลงทุนแนวนี้จะมองภาพในอนาคตเพื่อประเมินมูลค่าในปัจจุบัน โดยปกติแล้วบริษัทจะมีการจัดทำงบการเงินเพียงไตรมาสละ 1 ครั้งดังนั้นการที่ราคาซื้อขายในตลาดจะสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของกิจการที่ซ่อนอยู่จึงใช้เวลานาน หรือในบางครั้งแม้เวลาผ่านไปและราคาซื้อขายได้เพิ่มขึ้นตามมูลค่าที่เราเคยคำนวณเอาไว้แล้ว แต่เกิดตัวแปรใหม่ที่ทำให้มูลค่าที่แท้จริงในปัจจุบันเพิ่มขึ้นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่จะเก็บหุ้นของบริษัทนั้นๆไว้

3.       เป้าหมายในการลงทุน

การลงทุนแบบเทคนิคซื้อหุ้นเพื่อที่จะขายทำกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น เปรียบเสมือนการทำการค้า (Trade) ที่เราซื้อของราคาถูกมาขายในราคาแพง หรือซื้อของราคาแพงมาขายในราคาที่แพงกว่า ดังนั้นนักลงทุนแนวนี้จึงถูกเรียกว่านักค้าหุ้น (Trader) นักลงทุนเทคนิคไม่สนใจว่าหุ้นบริษัทที่เขาซื้อนั้นถูกหรือแพงตราบใดที่พวกเขาคาดการณ์ว่าจะมีคนที่ต้องการมารับซื้อกับพวกเขาในราคาที่ แพงกว่า

ในด้านของนักลงทุนพื้นฐาน มีเป้าหมายในการลงทุนคือซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบัน หรือสินทรัพย์ที่พวกเขาเชื่อว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นของสินทรัพย์ตัวนั้น

แล้วเราจะสามารถนำการลงทุนทั้งสองแบบมาผสมกันได้หรือไม่

การลงทุนทั้งสองแบบนั้นโดยหลักการนั้นเอามาใช้ร่วมกันได้ แต่ปัญหาคือ การลงทุนแบบเทคนิคมักจะชอบความผันผวนสูงซึ่งจะทำให้มีโอกาสในการซื้อขายทำกำไรสูง แต่หุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีความผันผวนต่ำทำให้ไม่สามารถลงทุนโดยใช้กรอบเวลาที่สั้นแบบการลงทุนเทคนิคได้

ตอนนี้คุณได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนทั้งสองแบบแล้ว แต่อาจจะยังมีคำถามว่าแล้วแบบไหนที่จะเหมาะกับคุณละ? คุณสามารถตอบคำถามนี้ได้ด้วยการสำรวจนิสัยของตัวคุณเอง ถ้าคุณเป็นคนใจเย็นและชอบการวิเคราะห์ การลงทุนแบบพื้นฐานน่าจะเหมาะกับตัวคุณ ถ้าคุณเป็นคนใจร้อนและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาการลงทุนแบบเทคนิคอาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าสำหรับคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าคุณจะเลือกการลงทุนแบบไหนก็ตาม ความมีวินัย คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี ในการลงทุนให้ประสบผลสำเร็จ

08 พฤษภาคม 2554

วิธีเลือกกองทุนรวม

นักลงทุนที่ชาญฉลาดเรียนรู้ที่จะบริหารต้นทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทนของตนเองในการเลือกซื้อกองทุนรวมในเกิดความสมดุล และถ้าคุณต้องการเรียนรู้และประสบความสำเร็จในการลงทุนในกองทุนรวม บทความนี้จะสามารถช่วยคุณวางแผนในการเลือกซื้อกองทุนรวมได้เป็นอย่างดี

สิ่งแรกที่คุณควรทำคือการวางเป้าหมายทางการเงินของคุณ เพราะเป้าหมายทางการเงินของคุณจะเป็นตัวชี้วัดว่าคุณควรจะเลือกกองทุนประเภทไหนเป็นเครื่องมือในการลงทุน

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่มุ่งเน้นที่จะได้รับส่วนต่างของมูลค่า (Capital Gain) คุณควรเลือกลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น แต่ขอให้คุณจำไว้เสมอว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงซึ่งมันจะส่งผลกระทบกับพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างแน่นอน ถ้าคุณต้องการที่จะลดความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ คุณสามารถทำได้ด้วยการศึกษาวิธีการลงทุนที่กองทุนใช้ และประเภทหุ้น ที่กองทุนนั้นๆลงทุน รวมถึงแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ในภาพรวม จำไว้ว่าความเข้าใจที่สูงจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่สูง

กองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ภาคเอกชนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการได้รับ รายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ ความผันผวนของมูลค่าสำหรับกองทุนประเภทนี้ค่อนข้างน้อย ซึ่งก็ตามมาด้วยผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำนั่นเอง

สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงเลย คุณเหมาะที่จะลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นแบบรับประกันเงินต้น กองทุนประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและแน่นอน เพียงแต่คุณต้องยอมรับผลตอบแทนที่น้อยกว่าทั้งกองทุนรวมหุ้น และกองทุนรวมพันธบัตรและหุ้นกู้เท่านั้นเอง แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพียงแค่ผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝากแต่ไม่อยากรับความเสี่ยงมากกว่าการฝากเงินในธนาคาร การลงทุนประเภทนี้ถือว่าเป็นทางเลือกเหมาะสมที่สุดเลยทีเดียว

ในปัจจุบันสถาบันการเงินได้นำเสนอกองทุนรูปแบบผสมออกมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค กองทุนประเภทนี้จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเพื่อลงทุนในหุ้นและอีกส่วนหนึ่งเพื่อลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ โดยสัดส่วนในการแบ่งพอร์ตการลงทุนนี้ขึ้นอยู่กับกองทุนแต่ละกอง โดยข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถสอบถามจากผู้ที่ขายกองทุนให้กับคุณ ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือคุณจะได้รับทั้งส่วน Capital Gain และรายได้ที่มั่นคง โดยในส่วนของผลตอบแทนกองทุนประเภทนี้จะมีผลตอบแทนน้อยกว่ากองทุนที่ลงทุนในหุ้น 100%

ประเด็นที่สองที่คุณควรจะพิจารณาในการตัดสินใจคือตัวบริษัทที่รับบริหารกองทุนแต่ละกอง คุณอาจจะได้เห็นหลายๆกองทุนใช้ผลตอบแทนระดับสูงในอดีตเป็นตัวดึงดูดให้คนมาลงทุน แต่อย่าลืมว่าอดีตไม่ได้เป็นตัวกำหนดอนาคตเสมอไป ที่เป็นเช่นนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆ กองทุนที่มีความร้อนแรงมักจะเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ เช่น ธนาคาร หรือ พลังงาน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าปีไหนที่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความเคลื่อนไหวน้อยหรือมีมูลค่าลดลง ผลตอบแทนของกองทุนก็จะลดลงตามไปด้วย

หน้าที่ของคุณคือศึกษาวิธีการลงทุนของกองทุนแต่ละกองทุนที่คุณเลือก ความโปร่งใส่ของกองทุน และแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กองทุนนั้นๆลงทุนอย่างไรก็ตาม การวิ่งตามกระแสใหม่ๆอาจจะช่วยทำให้คุณได้รับผลตอบแทนสูงในระยะสั้นแต่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้ระยะยาวได้ ถ้ากองทุนที่คุณสนใจเป็นกองทุนที่ลงทุนเชิงรุกให้คุณตรวจสอบ ประวัติและประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนอย่างละเอียด ไม่เช่นนั้นเงินของคุณอาจจะถูกบริหารโดยผู้จัดการกองทุนแบบ ของปลอมก็เป็นได้

สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องให้ความสนใจคือค่าใช้จ่ายต่างๆในการลงทุนเช่น ค่าบริหารกองทุน ค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขาย เป็นต้น แน่นอนว่าต้นทุนที่ต่ำลงย่อมหมายถึงผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วยนั่นเอง กองทุนที่ลงทุนเชิงรุกและเก็บค่าบริหารที่สูง ในระยะยาวแล้วอาจจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่ากองทุนดัชนีที่เก็บค่าบริหารต่ำกว่า ก็ได้ ลองสำรวจกองทุนดัชนีที่ท่านสนใจดูแล้วท่านจะพบว่ากองทุนดัชนีโดยปกตินั้นเก็บค่าบริหารและค่าธรรมเนียมต่ำมากเลยทีเดียว

หลังจากคุณได้รายชื่อกองทุนที่คุณสนใจแล้วลองเปรียบเทียบความผันผวนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ Net Asset Value (NAV) โดยอาจจะใช้ ดัชนี set50 เป็นตัวเปรียบเทียบก็ได้ รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของแต่ละกองทุนดูแล้วจึงตัดสินใจลงทุน
อย่าลืมความจริงที่ว่านี่คือเงินของคุณ และอนาคตของคุณ ดังนั้นคุณควรรอบคอบ และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

07 พฤษภาคม 2554

ทำไมคุณต้องลงทุน?

คุณอาจเคยถามตัวเองว่าทำไมคุณถึงต้องลำบากมาศึกษาการลงทุนด้วย เพียงแค่ทำงานได้เงินแล้วเอาเงินที่ได้ไปเก็บไว้ในธนาคารมันไม่เพียงพอหรือ? คำตอบก็คือการลงทุนคือวิธีการที่ดีที่สุดที่คุณจะสร้างความมั่นคงทางการเงินและอนาคตของคุณและครอบครัว มีวิธีที่คุณจะหาเงินได้ทั้งหมด 2 วิธี วิธีแรกคือ คุณใช้เวลา, สติปัญญา, และ แรงงานของคุณไปแลก อีกวิธีหนึ่งคือคุณใช้เงินของคุณออกไปทำงานหาเงินให้คุณผ่านกางลงทุน การลงทุนคือความลับที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมหาเศรษฐีทุกๆคน ซึ่งคนที่มุ่งมั่นที่จะร่ำรวยและประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเรียนรู้

เงินของคุณที่ฝากไว้ในธนาคารจะทำงานสร้างเงินให้คุณในรูปดอกเบี้ย แต่ปัญหาก็คือดอกเบี้ยที่คุณได้นั้นยังไม่มากพอแม้แต่จะเอาชนะเงินเฟ้อในแต่ละปี นั่นหมายความว่ามูลค่าของเงินในธนาคารของคุณกำลังลดลงโดยที่คุณไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณมีเงิน 100 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วคุณสามารถใช้เงินจำนวนนี้ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 6-7 ชาม (ก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาท) ถ้าคุณเอาเงินจำนวนเดียวกันไปฝากธนาคารที่อัตราดอกเบี้ย 4% เป็นเวลา 10 ปี ปัจจุบันคุณจะมีเงินประมาณ 150 บาท และคุณสามารถนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียง 3-4 ชาม (ก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท) ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องหาแหล่งเก็บเงินใหม่ที่จะคุณสามารถรักษามูลค่าของเงินที่คุณทำงานหนักเก็บสะสมมาและยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเงินของคุณอีกด้วย ตัวอย่างที่คุณเห็นนั้นยังไม่ได้สะท้อนถึงภาพที่แท้จริงเท่าไรนักเพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในความเป็นจริงเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 2% ไม่ใช่ 4% ซึ่งจะทำให้เงินเก็บของคุณมีเพียง 120 บาทไม่ใช่ 150 บาท! ฟังดูน่าตกใจใช่ไหมละ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากกองทุนรวมที่ได้ประมาณ 10% ต่อปีนับว่าเป็นความแตกต่างที่มากทีเดียว ถ้าคุณยังไม่เคยรู้จักกองทุนรวมหรือวิธีการทำให้เงินของคุณงอกเงยมากกว่าการฝากธนาคารแบบอื่นๆแล้วละก็ คุณก็เข้ามาถูกที่แล้วละครับ

สิ่งหนึ่งที่คุณต้องจำไว้เสมอคือทุกอย่างมีความเสี่ยงในตัวของมันเอง แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงนั้นได้ด้วยการหาความรู้และข้อมูลที่มากเพียงพอ คุณอาจเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญหลายคนพูดว่า ความเสี่ยงสูงผลตอบแทนสูงผมไม่เคยเชื่อเช่นนั้น คติของผมคือ ความเข้าใจสูงผลตอบแทนสูงเมื่อคุณมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือในการลงทุนตัวใดตัวหนึ่งเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการตัดสินใจของคุณในเรื่องนั้นก็จะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ และจะส่งผลให้ผลตอบแทนของคุณสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดที่คุณจำเป็นต้องทำคือเรียนรู้และหาข้อมูล จริงๆแล้วถ้าคุณมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนมากเพียงพอ คุณสามารถทำผลตอบแทนปีละ 20% โดยแทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยด้วยซ้ำ

วิธีการหนึ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ในการลงทุนคือการกระจายความเสี่ยง คุณสามารถกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนในเครื่องมือทางการเงินหลายๆประเภท อาทิเช่น หุ้น, หุ้นกู้, พันธบัตร, อสังหาริมทรัพย์, และ โลหะมีค่า คุณสามารถเลือกกระจายความเสี่ยงง่ายๆด้วยการกระจายการลงทุนของคุณไปในกองทุนแบบต่างๆเช่น กองทุนหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนทองคำ เป็นต้น โดยการลงทุนแบบนี้มีข้อดีคือคุณจะมีมืออาชีพช่วยในการดูแลการเงินลงทุนของคุณ ในขณะเดียวกันวิธีการนี้จะทำให้ผลตอบแทนที่คุณได้รับก็จะอยู่เพียงในระดับค่าเฉลี่ย ในความเห็นของผมสำหรับผู้ที่พึ่งจะเริ่มเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับการลงทุน วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีน่าสนใจวิธีหนึ่งเลยที่เดียว

ในโลกของการลงทุน มีหนทางและเครื่องมือมากมายที่คุณจะสามารถเลือกใช้ในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองและครอบครัวได้ ขอเพียงคุณจำไว้ว่า คุณจะสามารถเจอหนทางนั้นได้คุณต้องมีความรู้และความเข้าใจในการลงทุน คุณได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่นี่แล้ว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เดินหน้าหาความรู้ต่อไปเพื่อให้เงินของคุณสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับคุณและครอบครัว